วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

วันแห่งความรัก วาเลนไทน์ (Valentine’s Day)

วันแห่งความรัก วาเลนไทน์ (Valentine’s Day)



14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก วันที่ทุกคนจะมอบความรักให้กันและกันเป็นพิเศษ ในปีนี้ 2559 วันวาเลนไทน์ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ วันนี้สกู๊ปเอ็มไทยจึงขอนำประวัติ ความเป็นมาของวันวาเลนไทน์ ที่จะถึงนี้มาฝากกันครับ
วาเลนไทน์

วันวาเลนไทน์ 2555
วันวาเลนไทน์ (Valentine’s Day) มีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ซึ่งในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ซึ่ง เป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดา แห่งอิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของเด็กหนุ่มและเด็กสาว ต่อมาใน รัชสมัยจักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่งกรุงโรม ที่มีกษัตริย์ ใจคอดุร้ายและทรงนิยม การทำสงครามนองเลือด และทรงห้ามการจัดพิธีหมั้นและแต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด
เซนต์วาเลนไทน์
โดยขณะนั้นมีนักบุญรูปหนึ่งชื่อว่า “เซนต์วาเลนไทน์” หรือ “วาเลนตินัส” ซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงโรม ได้ร่วมมือกับ เซนต์มาริอัส จัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ด้วยความปรารถนาดีของท่านนี้เอง จึงทำให้เขาถูกตัดสินประหารชีวิตโดยเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ก่อนที่เขาจะถูกประหารชีวิตเซนต์วาเลนไทน์ ได้ตกหลุมรักหญิงสาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อว่า “จูเลีย” ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะถูกประหารชีวิตนั้น เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย อันเป็นที่รัก โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine
ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 (วันวาเลนไทน์) หรือ พ.ศ.813 ราว 1,738 ปี หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่ โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม ซึ่ง จูเลีย ได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของเซนต์วาเลนไทน์ หรือ วาเลนตินัส แด่ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพู ได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
ถึงแม้ว่าเบื้องหลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะเป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคงแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความกล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมายของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจเลยว่า ในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือก หญิงสาวที่ตนเองพึงใจใน วันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้.....

สถานที่ท่องเที่ยวแสนงดงามที่ต้องไปเยือนสักครั้ง

สถานที่ท่องเที่ยวแสนงดงามที่ต้องไปเยือนสักครั้ง

10 สถานที่ท่องเที่ยวแสนงดงามที่ต้องไปเยือนสักครั้ง

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก honestlywtf.honestlywtf.netdna-cdn.com , cinqueterre.a-turist.com , smilepanic.com , ukiedaily.com
          สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวในต่างแดน เชื่อว่าคนส่วนใหญ่มักเลือกที่จะบินไปเที่ยวในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา เพื่อไปช้อปปิ้ง หาของกินอันเลื่องชื่อและถ่ายรูปกันตามสถานที่ชื่อดังที่คนนิยมไปกัน เช่น ลอนดอน ปารีส กรุงโรม นิวยอร์ก เป็นต้น
          แต่คุณทราบหรือไม่ว่า ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสวยงามซุกซ่อนอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งบางแห่งหลาย ๆ คน อาจไม่เคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำไป วันนี้กระปุกดอทคอมจะมาแนะนำแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสวยงามแบบสุด ๆ ชนิดที่ว่า ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิตมาเผยให้ทราบกัน

10 สถานที่ท่องเที่ยวแสนงดงามที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
 1. อุโมงค์วิสเทอเรีย (Wisteria Tunnel)
          สำหรับผู้ที่ชื่นชอบดอกไม้นานาพันธุ์ จะต้องหลงรักอุโมงค์วิสเทอเรียอย่างแน่นอน โดยอุโมงค์ดอกไม้แห่งนี้ ตั้งอยู่ที่สวนคาวาชิ ฟูจิ ในเมืองคิตะกีวชู ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งภายในอุโมงค์จะมีดอกไม้สีสันสวยงามต่าง ๆ ห้อยอยู่ด้านบน เรียงกันเป็นแถว ๆ ยาวไปตามเส้นทาง ที่เมื่อเดินเข้าไปแล้วจะรู้สึกเหมือนอยู่ในสรวงสวรรค์แมกไม้เลยที
เดียว

10 สถานที่ท่องเที่ยวแสนงดงามที่ต้องไปเยือนสักครั้ง

10 สถานที่ท่องเที่ยวแสนงดงามที่ต้องไปเยือนสักครั้ง

 2. ชิงเกว แตร์เร (Cinque Terre)
          ชิงเกว แตร์เร คือ ส่วนประกอบของหมู่บ้านหลากสีทั้ง 5 แห่ง ที่อยู่ติดทะเลบริเวณชายฝั่งแคว้นลิกูเรีย ในประเทศอิตาลี ซึ่งนับว่าเป็นสถานที่ยอดนิยมของบรรดานักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ที่ต้องการมาชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามของตึกรามบ้านช่องที่ถูกฉาบไว้ด้วยสีสันสะดุดตามากมาย ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าใสที่อยู่ด้านหลัง เรียกได้ว่าสถานที่ ๆ มีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกก็ว่าได้

10 สถานที่ท่องเที่ยวแสนงดงามที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
 3. โรงแรมเมจิค เมาน์เท่น (Magic Mountain hotel)
          เมื่อดูภายนอกของโรงแรมแห่งนี้ อาจดูเหมือนเป็นสถานที่ใช้สำหรับถ่ายหนัง เพราะโรงแรมเมจิค เมาน์เท่น มีรูปทรงคล้ายกับภูเขาสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ในป่าเขียวชะอุ่ม ซึ่งมีน้ำตกพวยพุ่งไหลงลงมาจากด้านบนภูเขาอีกด้วย จนแทบไม่น่าเชื่อว่ามันคือที่พักสำหรับคน โดยโรงแรมภูเขาสุดหรูแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวภายในอุทยานฮุยโล ฮุยโล (Huilo Huilo) บริเวณแคว้นลอส ริออส ประเทศชิลี

10 สถานที่ท่องเที่ยวแสนงดงามที่ต้องไปเยือนสักครั้ง

 4. ครุ๊ก ฟอเรสท์ (Crooked Forest)
          ครุ๊ก ฟอเรสท์ เป็นสถานที่ตามธรรมชาติซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศโปแลนด์  โดยสิ่งที่ทำให้สถานที่แห่งนี้มีความแปลกพิสดารไม่เหมือนใครตรงที่ ต้นสนจำนวนมากประมาณ 400 ต้น ที่อยู่ในผืนที่แห่งนี้ มีลักษณะโค้งงอบริเวณโคนต้นผิดจากต้นไม้ทั่วไป ซึ่งประวัติของพวกมันทราบแต่เพียงว่ามีคนมาปลูกเอาไว้ในปี 1939 แต่ก็ไม่มีใครทราบทำไมมันถึงมีรูปร่างเช่นนี้ 

10 สถานที่ท่องเที่ยวแสนงดงามที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
 5. อุโมงค์แห่งความรัก (Tunnel Of Love)
          อุโมงค์ต้นไม้ขนาดยักษ์ที่เต็มไปด้วยใบไม้สีเขียวแห่งนี้ ตั้งอยู่บนรางรถไฟเก่าแห่งหนึ่งในเมืองคลีเวน ประเทศยูเครน ซึ่งสาเหตุที่ได้ชื่อว่าเป็น "อุโมงค์แห่งความรัก" เกิดจากเหล่าบรรดาคู่รักนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ชอบมาเดินเที่ยวเล่นกันภายในอุโมงค์แห่งนี้อยู่เสมอ
10 สถานที่ท่องเที่ยวแสนงดงามที่ต้องไปเยือนสักครั้ง

10 สถานที่ท่องเที่ยวแสนงดงามที่ต้องไปเยือนสักครั้ง

 6. บ่อน้ำพุร้อน บลู ลากูน (Blue Lagoon Hot Springs)
          บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ประเทศไอซ์แลนด์ ซึ่งเป็นบ่อน้ำพุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยบรรยากาศของสถานที่จะสวยงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูหนาว ที่แม้อากาศจะหนาวเหน็บขนาดไหน แต่อุณหภูมิของน้ำในบ่อก็ยังคงร้อนอยู่เสมอ เรียกได้ว่าเป็นสถานที่สร้างความอบอุ่นในวันที่หิมะมาเยือนได้อย่างสบาย ๆ

10 สถานที่ท่องเที่ยวแสนงดงามที่ต้องไปเยือนสักครั้ง

 7. ไอซ์ แคนยอน (Ice Canyon)
          หุบเขาน้ำแข็งขนาดยักษ์ เกิดขึ้นจากการละลายตัวของก้อนน้ำแข็งจำนวนมาก โดยมีความลึกถึง 150 ฟุต ในกรีนแลนด์ (Greenland) ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของประเทศเดนมาร์ก แม้ดูเผิน ๆ ดินแดนแห่งนี้อาจเป็นเพียงแค่พื้นที่ว่างเปล่า ที่เต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็งสีขาวทั่วไป แต่บริเวณช่องว่างในหุบเขาที่มองลงไปเห็นธารน้ำสีฟ้าใส ก็ทำให้ผู้คนจำนวนมากหลงเสน่ห์หุบเขาน้ำแข็งอันยิ่งใหญ่แห่งนี้อย่างง่ายดาย

10 สถานที่ท่องเที่ยวแสนงดงามที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
 8. บอล พีระมิด (Ball Pyramid)
          บอล พีระมิด คือ ภูเขาหินริมทะเลสูงที่สุดในโลกในปัจจุบัน โดยมีความสูงอยู่ที่ 562 เมตร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะลอร์ด ฮาว ในมหาสมุทรแปซิฟิค ซึ่งความจริงภูเขาหินแห่งนี้ เป็นส่วนที่เหลืออยู่ของภูเขาไฟรูปโล่ เมื่อประมาณ 7 ล้านปีที่แล้ว 

10 สถานที่ท่องเที่ยวแสนงดงามที่ต้องไปเยือนสักครั้ง

10 สถานที่ท่องเที่ยวแสนงดงามที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
 9. เกรท แบร์ริเออร์ รีฟ (The Great Barrier Reef)
          เกรท แบร์ริเออร์ รีฟ เป็นแนวปะการังนอกชายฝั่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในทะเลคอรัล บริเวณนอกชายฝั่งของรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย โดยสถานที่แห่งนี้ยังได้รับความนิยมมากมายจากนักดำน้ำและนักท่องเที่ยวทั่วโลก ที่ต่างพากันยกนิ้วให้กับความสวยสดงดงามของแนวปะการังแห่งนี้

10 สถานที่ท่องเที่ยวแสนงดงามที่ต้องไปเยือนสักครั้ง

10 สถานที่ท่องเที่ยวแสนงดงามที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
 10. อุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิทวิเซ่ (Plitvice Lakes National Park)
          อุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิทวิเซ่ ได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่มีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งเป็นอุทยานเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ในประเทศโครเอเชีย โดยภายในอุทยานยังแวดล้อมไปด้วยป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์ และมีธารน้ำตกมากมายหลายชั้น ที่สามารถสะกดนักท่องเที่ยวให้ตราตรึงกับบรรยากาศได้อย่างอยู่หมัด

การทำลูกชุบ !!!

การทำลูกชุบ !!!



อุปกรณ์
        เครื่องปั่น กระทะทองเหลือง

    วัตถุดิบ
        1. ถั่วเขียวซีกเลาะเปลือกนึ่งสุก 150 ก. (แช่น้ำ 1 คืน)
        2. สีผสมอาหารสีแดง 1 ช้อนโต๊ะ
        3. สีผสมอาหารสีเขียว 1 ช้อนโต๊ะ 
        4. สีผสมอาหารสีส้ม 1 
ช้อนโต๊ะ 
        5. น้ำตาลทราย 130 ก.
        6. ผงวุ้น 25 ก.
        7. น้ำเปล่า 1 ลิตร
        8. กะทิ 250 มล.
        9. กลิ่นมะลิ 1/2 ช้อนชา
        10. ใบของต้นแก้ว 1/2 ถ้วย
    * ส่วนผสมสำหรับ 40 ชิ้น
เวลาในการทำประมาณ 90 นาที



วิธีการทำ
    1. นำถั่วนิ่มสุก กะทิ น้ำตาลทราย ปั่นรวมกันจนละเอียด จากนั้นนำไปกวนในกระทะทองเหลืองด้วยไฟอ่อน จนส่วนผสมเริ่มแห้ง                      พักไว้ให้เย็น
    2. ปั้นให้เป็นรูปทรงผลไม้ตามชอบ จากนั้นทาสีให้สวยงาม พักไว้ 10 นาทีเพื่อให้สีแห้ง
    3. ผสมผงวุ้น น้ำเปล่า คนให้เข้ากัน พักไว้ 5 นาที ให้ผงวุ้นดูดซึมน้ำให้เต็มที่ เปิดไฟแรงให้น้ำเดือด จากนั้นลดไฟลงอ่อนๆ
    4. นำขนมลูกชุบที่ระบายสีแล้วลงชุบในน้ำวุ้นเคลือบให้ทั่วขนม พักไว้ 5 นาที จากนั้นชุบวุ้นใหม่อีกครั้ง (ชุบ 3 รอบ)
    5. เมื่อขนมลูกชุบเคลือบวุ้นทั่วดีแล้ว ตกแต่งให้สวยงามด้วยใบของต้นแก้ว เป็นอันเสร็จ


ลูกชุบ : ขนมลูกชุบเป็นขนมไทยที่มีสีสันและหน้าตาน่ารับประทาน นิยมปั้นเป็นรูปทรงผลไม้ต่างๆ 

    

10 เมนูขนมหวานยอดฮิตที่น่าลอง......


ขนมหวานและเบเกอร์รี่สมัยนี้มีเมนูมากมายสารพัดดัดแปลงมาให้เลือกทานแบบไม่ซ้ำซากจำเจ บ้างก็มีพื้นฐานมาแบบดั้งเดิม บ้างก็มีการนำมาดัดแปลงเป็นสูตรต่างๆ เราจึงอยากแนะนำเมนูฮิตๆ ระดับต้นๆ ที่คุณควรลองทานดู รับรองว่าเข้าร้านไหนไม่ตกเทรนด์แน่นอน
1. Crepe Cake หรือ Mille Crepe Cake เครปเค้กเนื้อนุ่มที่วางซ้อนเป็นชั้นๆ นิยมทานราดกับซอสราสเบอร์รี่รสชาติเปรี้ยว
Screen Shot 2556-03-11 at 2.20.27 AM
2. Chocolate Lava (Chocolate Fondant) ช็อกโกแลตเค้กที่มีน้ำช็อกโกแลตสอดไส้อยู่ด้านใน นิยมรับประทานคู่กับไอศกรีมวานิลลา ราดท้อปปิ้งด้วยไอซิ่ง หรือทานกับวิปครีมและผลไม้ตามฤดูกาล
Screen Shot 2556-03-11 at 2.20.39 AM
3. Honey toast เมนูยอดฮิตมีขนมปังปิ้งเป็นพระเอก หอมด้วยเนยอ่อนๆ นิยมราดด้วยน้ำผึ้งทานคู่กับวิปครีมและไอศกรีม
Screen Shot 2556-03-11 at 2.20.50 AM
4. Macaron (Macaroon) ขนมน้องใหม่มาแรงที่กำลังฮิตที่สุดเพราะนอกจากจะมีสีสันสวยงาม วางตกแต่งสวยหวานจึงเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ รสชาติคล้ายคุกกี้ แต่มีสอดไส้รสชาติต่างๆ หลายรสชาติ และกรอบนุ่มกว่า
Screen Shot 2556-03-11 at 2.20.57 AM
5. Japan Crepe ขนมที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศฝรั่งเศส และญี่ปุ่นนำมาดัดแปลงให้มีความนิ่มขึ้นสนสามาถม้วนได้ และเติมความสร้างสรรค์ลงไปด้วยการเพิ่มไส้ต่างๆ ทั้งแบบหวาน และแบบคาว
Screen Shot 2556-03-11 at 2.21.05 AM
6. Tiramisu ของหวานจากอิตาลี แม้ฟังชื่อดูคล้ายๆ ภาษาญี่ปุ่น แต่เป็นของหวานที่ขึ้นชื่อมากของอิตาลี ทิรามิสุเรียกอีกอย่างว่า "Tuscan Trifle" มีต้นกำเนิดที่เมือง SienaในTuscanyซึ่งอยู่แถบตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี
Screen Shot 2556-03-11 at 2.21.17 AM
7. Brownie บราวนี่เกิดจากความบังเอิญในการทำเค้กช็อกโกแลตโดยลืมใส่ผงฟู อบออกมาแล้วเค้กไม่ขึ้นฟู แต่กลับได้ขนมสีน้ำตาลเข้มเนื้อแน่น อันเป็นที่มาของชื่อ “brownie” นั่นเอง นับได้ว่า " ความหลงลืม ความผิดพลาดเป็นปัจจัยผลักดันความก้าวหน้า " ให้ขนมชนิดนี้ถือกำเนิดขึ้นบนโลก
Screen Shot 2556-03-11 at 2.21.23 AM
8. Banoffee Pie สวรรค์ของคนรักกล้วย เพราะขึ้นชื่อว่า Banoffee ในเมนูแล้วมักจะมีกล้วยเป็นพระเอก
Screen Shot 2556-03-11 at 2.21.31 AM
9. Custard ขนมเนื้อนุ่มที่มีส่วนประกอบหลักคือไข่ไก่และน้ำตาล
Screen Shot 2556-03-11 at 2.21.37 AM
10. chocolate soft fudge cake หรือ เค้กช็อกโกแล็ตหน้านิ่ม ถูกใจเป็นพิเศษสำหรับนักทานที่ชื่นชอบช็อกโกแลต
Screen Shot 2556-03-11 at 2.21.45 AM

" วันปีใหม่รั้ว ต.ส. "

" วันปีใหม่รั้ว ต.ส. "

สวัสดีวันปีใหม่พา ให้บรรดาเราท่านรื่นรมย์

ฤกษ์ยามดีเปรมปรีดิ์ชื่นชม ต่างสุขสมนิยมยินดี
ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้า ให้บรรดาปวงท่านสุขศรี
โปรดประทานพรโดยปรานี ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย
ให้บรรดาปวงท่านสุขสันต์ ทุกวันทุกคืนชื่นชมให้สมฤทัย
ให้รุ่งเรืองในวันปีใหม่ ผองชาวไทยจงสวัสดี
ตลอดปีจงมีสุขใจ ตลอดไปนับแต่บัดนี้
ให้สิ้นทุกข์สุขเกษมเปรมปรีดิ์ สวัสดีวันปีใหม่เทอญ 

     วันปีใหม่ที่โรงเรียนตราดสรรเสริญได้จัดขึ้น มีนักเรียนให้คว่ทร้วมมือเป็นอย่างดี มีการแสดงต่างๆมากมาย ทั้งการเต้น แสดงละคร จับของขวัญอีกมากมาย ได้ทานอาหารกับเพื่อนๆในห้อง มีความสุขมากๆเลยที่เดียว เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข สนุกสนาน 





ปีใหม่ วันปีใหม่

 Very HAPPY--------------

ผลไม้ลดน้ำหนัก อยากหุ่นสวย อ่านนนน !

ผลไม้ลดน้ำหนัก อยากหุ่นสวย อ่านนนน !

             ผลไม้ลดน้ำหนัก มีอะไรบ้างนะ เพราะเคยได้ยินมาว่าผลไม้หลายชนิดมีน้ำตาลสูง กินแล้วไม่ได้ช่วยให้ผอมได้เลย...

ผลไม้ลดน้ําหนัก

 
1. แอปเปิล
          
          แอปเปิลเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และเกลือแร่ที่ดีต่อร่างกาย ด้วยเหตุผลนี้แอปเปิลจึงเป็นผลไม้ตัวแม่สุดจี๊ดที่ช่วยลดน้ำหนัก เพราะไฟเบอร์จะช่วยให้คุณอิ่ม ไม่กินจุบจิบ ระบบการขับถ่ายก็จะดีเลิศ แถมยังมีวิตามินที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สวยเปล่งปลั่งได้อีกต่างหาก
 
ลูกแพร์

2. ลูกแพร์
            
          ถ้าพูดถึงผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงปรี๊ด ลูกแพร์ก็คงติดอันดับผลไม้ที่ว่านั้นด้วย และอาจจะมีภาษีดีกว่านิดนึงตรงที่มีโพแทสเซียมช่วยบำรุงหัวใจ และสุขภาพร่างกายโดยรวมของเราได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่า กินลูกแพร์ลูกเดียวได้ทั้งความอิ่มท้อง รวมทั้งช่วยบำรุงหัวใจไปด้วยในตัวเลยล่ะ
 

ผลไม้ลดน้ําหนัก

3. กล้วยน้ำว้า

          กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่มีทั้งไฟเบอร์ โพแทสเซียม และวิตามินบี 6 ที่สูงมาก เฉลี่ยแล้วกล้วยน้ำว้า 1 ลูก จะให้วิตามินบีกับร่างกายได้ถึง 30% เทียบเท่าปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวันเลยทีเดียว แล้ววิตามินบี 6 ดียังไงล่ะ ? จุดนี้บอกได้เลยว่า วิตามินบี 6 มีส่วนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ และช่วยให้ร่างกายรู้สึกอิ่มนาน ดังนั้นใครที่กำลังไดเอตอยู่ กล้วยน้ำว้าช่วยคุณได้เยอะเลยล่ะ
 
บลูเบอร์รี

4. บลูเบอร์รี
          ผลไม้ตระกูลเบอร์รีอย่างบลูเบอร์รีลูกเล็ก ๆ ก็มีอานุภาพในการบำรุงดูแลร่างกายเราได้มากมาย เริ่มตั้งแต่ช่วยรักษาระดับอินซูลิน ลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงโรคอ้วน รวมถึงลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดด้วย นอกจากนี้ผลวิจัยล่าสุดยังพิสูจน์มาแล้วด้วยว่า บลูเบอร์รีสามารถกำจัดเซลล์ไขมันในร่างกายได้ผลชะงัด รู้ประโยชน์ของบลูเบอร์รีกันไปแล้ว ก็อย่าลืมกินบลูกเบอร์รีกันเยอะ ๆ นะจ๊ะ
 

สตรอว์เบอร์รี

5. สตรอว์เบอร์รี

          นอกจากบลูเบอร์รีแล้ว ผลไม้ตระกูลเบอร์รียังส่งสตรอว์เบอร์รีลูกแดง ๆ มาช่วยคนอยากหุ่นสวยกระชับอีกหนึ่งชนิด และด้วยคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มการผลิตฮอร์โมนอะดิโปเนกติน (Adiponectin) และฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยเร่งระบบการเผาผลาญ จัดการไขมันสะสมในร่างกายได้อยู่หมัด จึงทำให้สตรอว์เบอร์รีเป็นผลไม้ตัวแม่เรื่องการลดน้ำหนักที่ไม่ควรพลาดด้วยเช่นกัน 

          นอกจากนี้ สตรอว์เบอร์รียังมีสารต่อต้านอาการอักเสบ สามารถช่วยซ่อมแซมรักษาเนื้อเยื่อที่สึกหรอ และอักเสบในร่างกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินซี ป้องกันโรคหวัดได้อีกด้วยค่ะ
 

ผลไม้ลดน้ําหนัก

6. กีวี

          สำหรับคนที่ชื่นชอบรสชาติเปรี้ยวอมหวานของกีวี อาจจะยังไม่รู้ว่า กีวีก็ถูกจัดให้เป็นผลไม้ช่วยลดน้ำหนักตัวจี๊ดเหมือนกัน เพราะนอกจากกีวีจะอุดมไปด้วยไฟเบอร์แล้ว เมล็ดสีดำเล็ก ๆ ของกีวียังเป็นไฟเบอร์ชนิดที่ไม่สามารถละลายได้ จึงช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร และทำให้คุณอิ่มได้นานขึ้น หมดปัญหาเรื่องกินจุบกินจิบอีกต่อไป
 

เกรปฟรุต


7. เกรปฟรุต

          เกรปฟรุตครึ่งลูกให้พลังงานเพียงแค่ 37 กิโลแคลอรี่ แต่มีไฟเบอร์ในจำนวนที่มากกว่านั้นหลายเท่าตัว แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วเนอะ ว่าเกรปฟรุตเป็นผลไม้เหมาะจะกินเพื่อลดน้ำหนักสุด ๆ โดยเฉพาะหากกินเกรปฟรุตครึ่งลูกก่อนมื้อเช้าทุกวัน หุ่นสวยกระชับสุดเป๊ะก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมจ้า
 

ลูกพีช

8. ลูกพีช

          นอกจากจะมีไฟเบอร์สูงมากแล้ว ลูกพีชยังมาพร้อมโพแทสเซียม และวิตามินอีกสารพัดชนิดที่ดีต่อร่างกาย แถมด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึงไปด้วยในตัว จัดเป็นผลไม้ลดความอ้วน และผลไม้เพื่อผิวสวยที่น่าสนใจมาก ๆ เลยทีเดียว
 
มะพร้าว

9. มะพร้าว

           แม้มะพร้าวจะมีรสชาติหวานเจี๊ยบ แต่ความหวานนั้นก็เป็นน้ำตาลธรรมชาติที่อุดมไปด้วยสารอาหาร และวิตามินที่เป็นประโยชน์กับร่างกายเราหลายชนิด โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งช่วยกระตุ้นเมตาบอลิซึมได้ถึง 30% เผาผลาญไขมันในตับได้เยอะขึ้น ส่งผลให้คุณลดน้ำหนักได้ผลเร็วขึ้นอีกต่างหาก 

          นอกจากนี้ ไขมันอิ่มตัวที่อยู่ในน้ำมันมะพร้าว เนื้อมะพร้าว หรือกะทิจากมะพร้าว ก็เป็นกรดไขมันที่อิ่มตัวโดยสมบูรณ์ โมเลกุลจึงแตกต่างจากไขมันอิ่มตัวในอาหารต้องห้ามของคนไดเอตนะคะ ดังนั้นกินมะพร้าวเยอะแค่ไหน ก็ไม่ทำให้อ้วนได้เท่ากินอาหารขยะจานเดียวแน่ ๆ
 

ทับทิม

10. ทับทิม

          ทับทิมเป็นสุดยอดผลไม้ ที่ช่วยในเรื่องลดน้ำหนัก และล้างสารพิษในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะสารโพลีฟีนอล ตัวต้านสารอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งในทับทิม ที่ไปช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญในร่างกายให้ทำงานดีขึ้น ลดไขมันในเลือด ลดไขมันเลว LDL ล้างสารพิษในเลือด และช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนสะดวก เปล่งประกายผิวพรรณสดใสไปพร้อม ๆ กับกระชับสัดส่วนในคราวเดียวกัน
 
ผลไม้ลดน้ําหนัก

11. ส้ม

          ด้วยปริมาณวิตามินซีที่สูงลิ่ว ไธอามีน และโฟเลทในผลไม้ลูกเล็ก ๆ อย่างส้ม ทำให้ส้มเป็นผลไม้ที่ช่วยเร่งระบบการเผาผลาญได้ดีอีกชนิดหนึ่ง อีกทั้งเนื้อส้มยังให้ไฟเบอร์ช่วยระบบขับถ่ายได้ถึง 5 กรัม ต่อส้มสดปริมาณ 1 ถ้วยตวง ในขณะที่ให้พลังงานกับร่างกายเพียงแค่ 85 กิโลแคลอรี่เท่านั้น 

          แต่ทั้งนี้ อย่าสับสนไปกินน้ำส้มคั้นนะคะ เพราะน้ำส้มคั้นจะให้สารอาหารที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และเป็นสารอาหารที่ค่อนข้างน้อยซะด้วยสิ อีกทั้งน้ำส้มยังทำให้คุณพลาดโอกาสได้รับไฟเบอร์จากเนื้อส้มอีกด้วย
 

มะม่วง
 
12. มะม่วง

          หลายคนไม่ยอมกินมะม่วงเลย เพราะเกรงว่าแป้ง และน้ำตาลในมะม่วงจะทำให้อ้วนขึ้น แต่จริง ๆ แล้วมะม่วง หรือแม้แต่มะม่วงสุก ไม่ได้ให้แค่น้ำตาล และรสชาติหวานลิ้นเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม ไฟเบอร์ 3 กรัมต่อปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน และให้พลังงานเพียงแค่ 130 กิโลแคลอรี่ต่อ 1 ผลเท่านั้นเอง ดังนั้นกินมะม่วงในปริมาณที่พอเหมาะ ก็ไม่ได้ทำให้น้ำหนักคุณขึ้นแต่อย่างใดค่ะ
 

มะละกอ
 
13. มะละกอ
            
          เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ามะละกอเป็นผลไม้ตัวแม่ที่ช่วยเรื่องการขับถ่าย แต่จริง ๆ แล้วมะละกอมีดีกว่านั้นเยอะนะจ๊ะ เพราะนอกจากปริมาณไฟเบอร์มหาศาล มะละกอยังมีเอนไซม์ช่วยย่อย ทำให้อาหารที่เรากินเข้าไปถูกย่อย และดูดซึมได้โดยง่าย อีกทั้งมะละกอยังมีฟลาโวนอยด์ แคโรทีน วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระเป็นอาวุธชั้นดี เพื่อต่อสู้กับไขมัน และส่วนเกินของเราอีกด้วย